รีวิวเลสิก รพ.พระราม 9
ผมคิดจะทำเลสิกตั้งแต่สายตาเริ่มสั้นและต้องเริ่มใส่แว่นเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว แต่ด้วยความกลัวต่างๆนา ประกอบกับราคาที่แพงระยับจนจับต้องไม่ได้ ผมจึงเลือกที่จะรอ ผมบอกกับตัวเองตอนนั้นว่าอีก 10 ปีข้างหน้า ถ้ายังอยากทำค่อยทำ อีกหนึ่งเหตุผลปัญญาอ่อนของผมที่อยากทำเลสิกมาจากการดูหนังจำพวกภัยพิบัติ โลกแตกซัมติง เทือกๆนั้น ผมคิดเล่นๆว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์ประมาณนั้นขึ้นกับโลกจริงๆ การใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์ดูจะเป็นภาระอยู่พอสมควร
และแล้ววันนี้ก็มาถึงครับ ราคาเลสิกวันนี้ในโรงพยาบาลต่างๆ ถูกลงกว่าเมื่อสิบปีที่แล้วหลายเท่าตัว ประกอบกับช่วงเวลา WFH แบบนี้ช่างเหมาะสมเหลือเกินกับการตัดสินใจทำเลสิก ทันทีที่ผมคิดจะทำ รพ.พระราม 9 ก็ส่งโปรโมชั่นแพ็กเกจเลสิก 4 แบบ มาให้ผมผ่านโฆษณาทางเฟสบุ๊คราวกับทีมการตลาดออนไลน์สามารถอ่านใจผมได้ 555
ผมใช้เวลาศึกษาข้อมูล 1 สัปดาห์ จึงตัดสินใจเลือกทำแบบ ReLEx Smile ด้วยเหตุผลว่า เป็นเทคโนโลยีที่ดีที่สุด ณ ขณะนี้ แผลเล็กที่สุด ใช้เวลาพักเพียง 1 วัน ผมกดจองไปทางหน้าเว็บ ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงก็มีเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลโทรมาหาเพื่อแจ้งรายละเอียด ผมดูวันว่างปฏิทินของผม แล้วก็พบว่า ผมว่างทุกวัน 555 เลยตัดสินใจทำในวันรุ่งขึ้นได้เลย
วันนัดทำเลสิกของผมคือเมื่อวานนี้ครับ ขั้นตอนก็แสนจะง่ายดาย ไปถึงโรงพยาบาลตอน 9 โมงเช้าที่อาคาร B ชั้น 9 ของโรงพยาบาล ตึกนี้เป็นตึกใหม่ครับ เรียกว่าหรูหราหมาเห่ายิ่งกว่าเดินเล่นเกษรพลาซ่า ช่วงเช้าตรวจตานู่นนี่ พบคุณหมอ ซึ่งคุณหมอน่ารักมากครับ น่ารักมากแบบที่แปลว่าน่ารักมากอะครับ ตรวจเสร็จประมาณ 11 โมง ก็ไปพักทานข้าวที่ร้านฟูจิชั้น 2 แบบซื้อลงมาทานที่ชั้น B1 ซึ่งสถานที่นั่งทานข้าวก็สดใสสดชื่นไม่แพ้นั่งทานในร้าน
ทานข้าวเสร็จเวลาเหลือ บวกกับผมเป็นเหยื่อการตลาดชั้นเยี่ยมของโรงพยาบาลนี้ ผมเห็นป้ายโฆษณาป้ายยาเรื่องการแก้ไขปัญหาออฟฟิศซินโดรม ชื่อศูนย์ว่า Fix & Fit ที่ชั้น 11 ผมก็เลยเดินมึนๆ ขึ้นไปสอบถาม แล้วก็ใจง่ายพบคุณหมอไปเลย 555 ซึ่งคุณหมอก็น่ารักมากๆอีกเช่นกัน เป็นคุณหมอผู้ชายใจดี เกษียณมาจากศิริราช แกชวนคุยนู่นนี่ละให้ผมทำกายภาพชื่อ Shock Wave (เดี๋ยวค่อยมารีวิวให้ฟังอีกที) บวกกับให้หนังสือที่แกเขียนเองเกี่ยวกับอาการออฟฟิศซินโดรมเล่มเบ้อเริ่มให้ผมกลับมาอ่านเล่น ดีงามมาก
บ่ายสองโมงทางศูนย์เลสิกโทรมาเรียกเข้าห้องผ่าตัด พอได้ยินคำว่าผ่าตัด บอกตามตรงว่าเกิดอาการหวั่นไหวนิดหน่อย แต่พอเดินเข้าห้องไปได้ยินเสียงคุณหมอกล่าวสวัสดี ดีขึ้นทันทีเลยครับ 555 ถึงเวลาล้างหน้าล้างตาพอประมาณพยาบาลก็ให้เดินเข้าห้องปฏิบัติการ ซึ่งอุปกรณ์อลังการมากครับ เหมือนอยู่ในฉากหนังไซไฟอะไรซักเรื่อง ผมนอนลงบนเตียงที่เลื่อนไปมาได้ แบบหมุนเข้าไปสู่แท่นทำงานประมาณนั้น ผู้ช่วยแพทย์จัดแจงติดสติ๊กเกอร์กับขนตา เพื่อไม่ให้มารบกวนเครื่องมือ ตามด้วยหยอดยาชาเล็กน้อย
และแล้วนาทีระทึกก็มาถึงครับ เตียงค่อยๆเคลื่อนไปด้านใต้อุปกรณ์ คุณหมอบอกให้จ้องไฟสีเขียวไว้ อย่าขยับ ให้อยู่นิ่งที่สุด จะใช้เวลาประมาณ 26 วินาทีต่อตา 1 ข้าง ผมทำตามอย่างว่าง่าย ตาจ้องที่จุดเขียว ไม่ขยับ ไม่กระพริบตา จุดเขียวค่อยๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ มีการขยับซ้ายขวาไปมาบ้างและค่อยๆเคลื่อนเข้ามาหาลูกตาของผม บรรยากาศคล้ายๆ กับยูเอฟโอกำลังเข้าเทียบยานแม่ด้วยระบบแมนวล ผมกลั้นหายใจ เพราะเกรงว่าการหายใจของผมจะทำให้ยานลูกมีปัญหาในการเข้าเทียบ ซึ่งก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีครับ หลังจากเข้าเทียบสำเร็จ คุณหมอจะทำการล้างตา และคีบแผ่นใสๆ คล้ายคอนแทคเลนส์ ที่พึ่งเทียบเข้าตาผมไปเมื่อกี้ออก เป็นอันเสร็จพิธี
ตาอีกข้างทำซ้ำเหมือนเดิมและผ่านไปได้อย่างราบรื่นเช่นกัน ซึ่งผมได้รับคำชมว่า เป็นคนไข้ที่นิ่งที่สุดแห่งปี ผมคิดในใจว่า หมออย่ามาปากหวาน หมอชมแบบนี้ทุกคนแหละ 555 เสร็จสิ้นกระบวนการ คุณหมอขอถ่ายรูปคู่ 1 รูป น่าจะเอาไปทำโปรไฟล์ แต่ผมก็คิดในใจอีกครั้งว่า นี่หมอคิดอะไรกับผมปะเนี่ย 555
ผมถูกปิดตาด้วยที่ครอบตาใสกลับมาบ้าน ตามองเห็นนะครับ แต่จะเป็นฝ้าๆ หมอกๆ ต้องเคลื่อนไหวช้าๆ แต่ไม่ลำบากมาก นอนหลับ 1 คืน ตื่นมาถอดที่ครอบตา มองเห็นปกติละครับ แต่คุณภาพการมองเห็นยังไม่ชัดแบบ HD แต่ก็ถือว่าใช้ชีวิตได้ปกติครับ
วันนี้ผมเดินทางไปพบคุณหมอเพื่อดูแผล ซึ่งแผลก็ปกติครับ ไม่มีปัญหาอะไร การดูแลมีแค่ให้ใส่ที่ครอบตาเวลานอน แล้วก็ห้ามโดนน้ำเป็นเวลา 7 วัน และหลังจากนี้ประมาณ 3 สัปดาห์ ตาจะกลับมาชัดแบบ HD คุณหมอคนสวยบอกไว้ว่าอย่างนั้น
“เยี่ยมไปเลยครับ ผมจะได้เห็นคุณหมอชัดๆ ซักที”
อันนี้ก็คิดในใจเช่นกันครับ
จอมเดช ตรีเมฆ
11 ส.ค.64